วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555

ทำความรู้จักกับ L-Carnitine กันเถอะ

มาทำความรู้จักกับ แอลคาร์นิทีน กันเถอะ

ในปัจจุบัน แอลคาร์นิทีนนั้น เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายและได้ถูกนำมาใส่ในผลิตภัณฑ์ เสริมอาหาร และ เครื่องดื่มเพื่อความงาม อย่างมาก แอลคาร์นิทีน(L-Carnitine) นั้นเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ร่างกายสามารถผลิตได้ที่ตับ โดยมีการสังเคราะห์จากกรดอะมิโน 2 ชนิดคือ Lysine และ Methionine พร้อมกับอาศัยตัวเร่งให้เกิดการสังเคราะห์ ได้แก่ Niacin วิตามิน B6 วิตามิน C และ ธาตุเหล็ก โดยปกติแล้ว แอลคาร์นิทีน จะพบในสัตว์เนื้อแดงชนิดต่างๆ โดยเฉพาะในส่วนกล้ามเนื้อลายนั้นจะมากเป็นพิเศษ 
แอลคาร์นิทีนนั้นจะช่วยลำเลียงโมเลกุลของไขมันเล็กๆ เข้าไปใช้ในเซลล์ต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดการนำไขมันไปเปลี่ยนเป็นพลังงาน ดังนั้นหากร่างกายขาดสาร Carnitine หรือมีไม่เพียงพอที่จะเป็นตัวพาเม็ดไขมันไปเผาผลาญแล้วละก็ ปัญหาสุขภาพอันเนื่องมาจากไขมันสะสมก็จะเป็นเรื่องตามมาที่สามารถส่งผลเสีย ต่อร่างกายของคุณอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความอ้วน และการสะสมของไขมันตามหลอดเลือด ซึ่งอาจจะส่งผลต่อความยืดหยุ่นของหลอดเลือด และนำมาซึ่งปัญหาไขมันในเลือดสูงและมีความดันโลหิตสูงตามมาได้ นอกจากนี้ ยังอาจจะมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อแขนขา อ่อนเพลีย ซึมและเหนื่อยง่าย

10 สิ่งที่ควรรู้ของแอลคาร์นิทีน
1.คาร์นิทีนทำให้แก่ช้าลง ในเหตุผลแรกนี้ก็ชวนให้เราหลงใหลใคร่อยากกินคาร์นิทีนกันแล้ว ที่คาร์นิทีนทำให้แก่ช้าลงก็เพราะเหตุผลที่ว่าเซลล์ในร่างกายทุกๆ เซลล์ ไม่ว่าจะเป็นเซลล์สมอง เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ หรือเซลล์อื่นๆ ในร่างกายทั้งหมดจะทำงานได้ดีก็ต่อเมื่อได้รับพลังงานเพียงพอ และเหมาะสมกับความต้องการของเซลล์แต่ละชนิด และคาร์นิทีนนี่เองทำให้เซลล์มีอายุยืนนานขึ้น
2.คาร์นิทีนทำให้ระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ (triglycerides) อยู่ในระดับต่ำ และช่วยเพิ่มระดับของไขมันที่มีประโยชน์ (HDL-คอเรสเตอรอล) ในเลือด
3.คาร์นีทีนช่วยป้องกันโรคหัวใจ โดยมีผลทำให้สุขภาพโดยรวมของหัวใจดีขึ้น และช่วยป้องกันการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวด้วย 
4.คาร์นีทีนช่วยให้น้ำหนักลด โดยเฉพาะการใช้ร่วมกับวิธีการที่ ลดอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลลงในอาหารแต่ละมื้อ
5.คาร์นีทีนช่วยเพิ่มระดับพลังงานของร่างกาย อย่างเป็นธรรมชาติค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่ทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บ หรือเกิดความเสียหายใดๆ กับร่างกายได้
6.แอล คาร์นิทีนช่วยให้ ความสามารถในการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น มีความทนทานมากขึ้น และป้องกันเนื้อเยื่อไม่ให้เกิดความบาดเจ็บอันเนื่องมาจากปริมาณออกซิเจนในเซลล์ไม่เพียงพอ
7.คาร์นิทีนและ อะซีทีล-แอล-คาร์นีทีน (Acetyl-L-carnitine) ทำให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น
8.อะซีทีล-แอล-คาร์นีทีนช่วยลดความเสียหายของเซลล์ประสาท อันเนื่องมาจากความเครียด และอาจมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ แต่ได้ผลเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอายุน้อย ทำให้อาการของโรคไม่เป็นไปมากกว่านี้
9.อะซีทีล-แอล-คาร์นีทีน มีผลต่อสุขภาพจิตในทางบวก และลดภาวะความเครียด
10.คาร์นิทีนช่วยในการทำงานของตับ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของคนเรา

 นอกจากนี้ยังมีงานวิจัย มากมายที่ยืนยันถึงประโยชน์ของการใช้ L-carnitine ในวงการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ในผู้ป่วยที่มีปัญหากล้ามเนื้ออ่อนแรง จนไม่สามารถตั้งศีรษะให้ตรงได้ ซึ่งหลังจากมีการใช้ L-carnitine ขนาด 2 กรัม/วัน อาการดังกล่าวก็หายไป หรือการใช้ในนักกีฬา ก็มีการยืนยันว่าสามารถเพิ่มแรง สำหรับการออกกำลังกายประเภทหนักได้ เช่น การวิ่งมาราธอน   รวมทั้งมีการใช้ แอลคานิทีน พื่อช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น

ข้อควรระวังในการใช้แอลคาร์นิทีน
สารทุกอย่างมีทั้งประโยชน์ และโทษในตัวเองขึ้นกับปริมาณ และช่วงจังหวะเวลาของการใช้ ถึงแม้ว่าแอลคาร์นิทีนจะไม่ปรากฏผลข้างเคียงใดๆ ที่เด่นชัดมากนัก แต่ก็มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าถ้ากินเข้าไปมากขนาด 5 กรัมต่อวัน หรือมากกว่าอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้ ส่วนอาการข้างเคียงอื่นๆ ที่อาจพบได้ เช่น มีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น มีกลิ่นตัว และเกิดอาการแพ้มีผื่นแดงขึ้น และสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้ต่ออาหารโปรตีน เช่น ไข่ นม หรือข้าวสาลี ไม่ควรบริภค ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ แอลคาร์นิทีน รวมถึงคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับ และไต เด็กที่มีอายุยังไม่ถึง 2 ขวบ และสตรีมีครรภ์ก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้ ถ้าจำเป็นก็ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

เคล็ดความงาม ไฟเบอร์ ช่วยลด คอเลสเตอรอล

เคล็ดความงาม ไฟเบอร์ ช่วยลด คอเลสเตอรอล

คอเลสเตอรอล เป็นไขมันชนิดหนึ่ง มีลักษณะกึ่งเหลว ที่พบได้ในทั่วไปในเซลล์และอวัยวะต่างๆทั่วไปในร่างกาย
อย่างไรก็ดี คอเลสเตอรอล ก็เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์
ช่วยในการส่งผ่านสารละลายต่างๆ ระหว่างเซลล์ และยังเป็น สารตั้งต้นในการสร้างน้ำดี
ที่มีความจำเป็นในการย่อยไขมัน ที่เรารับประทานเข้าไป คอเลสเตอรอล ส่วนใหญ่ในร่างกายของคนเรานั้นรางกายเรานั้น
สามารถสังเคราะห์ขึ้นมาได้เองจากตับ ซึ่ง ก่อนที่ร่างกายจะสามารถนำคอเลสเตอรอล ที่สังเคราะห์ขึ้นมานี้ไปใช้ได้ันั้น
ต้องมีการรวมตัวกับโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า อะโพโปรตีน เพื่อเปลี่ยนเป็น ไลโพโปรตีน ที่สามารถถูกดูดซึมและส่งผ่านทางระบบไหลเวียนโลหิต
เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไปได้

สำหรับระดับปริมาณของคอเลสเตอรอล ในร่างกายของคนเรา ถ้าเกิดสูงเกินไปจะทำให้
เกิดอันตรายกับระบบส่งผ่านสารต่างๆ ภายในร่างกายได้ เช่น ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบการดูดซึมของเซลล์
โดยมักเกิดขึ้นกับผู้ที่มีภาวะน้ำหนักตัวสูงเกินมาตรฐาน การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับชีวะวิทยาหลายฉบับ
ยืนยันว่า การรับประทาน เส้นใยอาหาร (Fiber) ชนิดที่ละลายน้ำได้
วันละ 10 – 30 กรัม สามารถช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในร่างกาย
หรือ ไขมันไม่ดี ลงได้ถึง ร้อยละ 10 ซึ่งได้ผลดีกว่าการรับประทานยาลดระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด

อาหารช่วยลดคอเลสเตอรอล ซึ่ง อุดมด้วยเส้นใย 10 อันดับแรก
ได้แก่

ไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำ สามารถพบได้มากในอาหารประเภทถั่ว และ ธัญพืชชนิดต่างๆ
เช่น ถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ และถั่วปากอ้า โดยสารเส้นใย (ไฟเบอร์)สามารถไปเคลือบกระเพาะ
ทำให้ความอยากอาหารลดลง ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้นด้วย
ข้าวโอ๊ตและรำข้าว ก็อุดมไปด้วย ไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำ
ผัก ที่มีไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำสูง ได้แก่
บล็อคโคลี่ แครอท ข้าวโพดหวาน นอกจากนี้สาร ซิลิเนียมที่มีอยู่ในผัก ยังมีประโยชน์มากๆ
ต่อร่างกายอีกด้วย
ผลไม้ ประเภท ลูกพรุน อินทผลัม มะเดื่อ และเอพริคอต เป็นอีกแหล่งหนึ่งที่มี
ไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำอย่างอุดมสมบูรณ์
แอ๊ปเปิ้ล ฝรั่ง สาลี่ ฝรั่ง ก็เป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์ในปริมาณสูงเช่นกัน
นอกจากนี้ วิตามินซีในฝรั่ง ยังช่วยสร้างคอลลาเจน ที่ช่วยลดการเกิดริ้วรอยของผิวได้อีกด้วย
ธัญพืชไม่ขัดสี ข้าวกล้อง ข้าวไรย์ ข้าวบัควีต ขนมปังโฮลวีต
เส้นพาสต้า เป็นแหล่งไฟเบอร์ ที่ช่วยในการลดระดับของคอเลสเตอรอล และ ช่วยในระบบขับถ่ายของร่างกายให้เป็นปกติ
มันฝรั่งอบ มันเทศนึ่ง โดยรับประทานทั้งเปลือก
ผักโขม คะน้า เป็นผักที่มีไฟเบอร์สูงและมีเส้นใยในปริมาณมาก
ถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ ถั่วลิสง วอลนัท เป็นอีกแหล่งอาหารเส้นใยที่ละลายน้ำได้
ผลไม้ประเภท กล้วย เช่น กล้วยไข่ กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
กล้วยไข่นั้น นอกจากประโยชน์เรื่องไฟเบอร์แล้ว ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

8 สมุนไพรทรงพลัง ช่วยเสริมความงาม

8 สมุนไพรทรงพลัง ช่วยเสริมความงาม อย่างง่าย

ผักผลไม้ และ สมุรไพร ที่หาได้ง่ายๆ รอบๆตัวเรา นั้นล้วนมีสรรพคุณแตกต่างหลากหลายที่มีประโยชน์
ที่ไม่เพียงแต่การบริโภคเท่านั้นที่ จะช่วยทำให้สุขภาพร่างกายดีแล้ว สมุนไพรเหล่านี้ยังนำมาใช้กับภายนอกได้ดีอีกด้วยและนี่คือสารพันสูตรความงามจากสมุรไพร ที่หาได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ

ใบบัวบก ช่วยลดเลือนรอยย่นบนใบหน้า และแผลเป็น รวมถึงสามารถที่จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
และอิลาสติน สามารถทำได้โดยการนำ ใบบัวบกสดๆ หั่นฝอยประมาณ 1 ถ้วยตวง แล้วเติมน้ำต้มสุกเล็กน้อย แล้วนำไปปั่นให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำ แล้วนำมาทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก
ใบบัวบกจะช่วยบำรุงผิวหน้าให้เต่งตึงลดริ้วรอย

แตงกวา มีเอนไซม์ ที่ชื่อว่า Cryssin ซึ่งทำขจัดผิวหนังที่หยาบกร้านให้หลุดออกไป และเผยผิวใหม่ โดยการช่วยเร่งการพลัดผิวให้เป็นไปอย่างธรรมชาติ โดยการใช้แตงกวาสดหั่นเป็นชิ้นบางๆ แล้ววางบนใบหน้าที่ล้างสะอาดได้โดยตรง เพื่อช่วยสมานผิว นอกจากนี้แตงกว่ายังทำให้ผิวขาวกระจ่างใสได้อีกด้วย

ว่านหางจระเข้ นั้นมีการปลุกอย่างแพร่หลายในทุกภาคของประเทศ เป็นสมุรไพรคู่บ้านเลยก็ว่าได้ คุณค่าของว่านหางจระเข้มีหลายหลาย รวมถึงในเรื่องของความงามว่านหางจระเข้ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ช่วยขจัดสิว และลดจุดด่างดำและแผลเป็นได้ ว่านหางจระเข้สามารถใช้บำรุงผิวได้โดยตรง โดยใช้แต่ส่วนของวุ้นของว่านหางจระเข้สีขาวใสที่อยู่ภายใน ควรล้างยางสีเหลืองๆ ออกไปก่อน เพื่อป้องกันการแพ้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ว่านหางจระเข้ทาบริเวณที่เป็นสิว เพื่อให้สิวแห้งเร็วขึ้น นอกจากนี้ ว่านหางจระเข้ ยังช่วยลดความมันบนใบหน้าได้
โดยไม่ทำให้ผิวเสียความสมดุลอีกด้วย

มะขามเปียก มีฤทธิ์ที่เป็นกรดอ่อนๆ ชนิด AHA ซึ่งสามารถขจัดสิ่งสกปรกบนผิวได้เป็นอย่างดีน็นด็นด โดยใช้มะขามเปียกผสมกับน้ำอุ่น และนมสดผสมให้เข้ากัน แล้วพอกบริเวณผิวหนังโดยเฉพาะบริเวณที่หยาบกร้าน เช่น ตาตุ่ม ข้อศอก หรือบริเวณที่ผิวกร้านดำ เช่น รักแร้ ขาหนีบ จะช่วยให้รอยดำลดลงถูกผลัดออกมากทำให้แลดูขาวสว่างใสขึ้นได้

กล้วยน้ำว้า มีสารบำรุงที่ช่วยให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์ โดยการใช้กล้วยน้ำว้าสุก 1 ลูก ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ปั่นผสมรวมกันให้เป็นครีมข้น แล้วนำมาทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

มะม่วงสุก สามารถแก้ปัญหา ฝ้า กระ และสิว ได้ ซึ่งสามารถ ใช้เนื้อมะม่วงสุก 1 ผล ผสมกับดินสอพอง 1 ช้อนโต๊ะ และ น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ นำมาปั่นรวมกัน จนเป็นส่วนผสมเข้มข้นๆ ทำมาทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

ทุเรียน ช่วยลดปัญหาสิว โดยการใช้เนื้อทุเรียนแบบที่สุกพอห่าม ซึ่งในทุเรียนนั้น มีกรดกำมะถัน อย่างอ่อนๆ ที่ช่วยให้สิวแห้งไว นำมาหันเป็นชิ้นเล็กๆ 3-5 ช้อนโต๊ะ แล้วปั่นผสมกับ ดินสอพอง 1 ชิ้น แล้วใช้ทาให้ทั่วใบหน้า (เว้นรอบดวงตาและปาก) หรือ เน้นบริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด

ขมิ้นสด ในขมิ้นนั้นมีสาร Curmin และมีน้ำมันหอมระเหย ที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโต ของเชื้อจุลินทรีย์
และเชื้อราได้หลายชนิด นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงผิวหน้าให้สดใสอ่อนวัย โดยการนำขมิ้นสด มาปั่นรวมกับดินสอพอง และน้ำมะนาวหนึ่งลูก จนเป็นส่วนผสมข้นๆ มาให้ทั่วใบหน้า ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออก

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

การเลือกของว่างที่ดีต่อสุขภาพและความงาม

การทานอาหารว่างกับความงาม

เราทุกคนรู้ดีว่าอาหารที่ดีกับสุขภาพ ร่างกาย และความงามของพวกเรา และอาหารแบบไหนที่ไม่ดี เราต่างก็รู้ว่าผลไม้อย่างแอปเปิ้ลนั้นดีต่อสุขภาพและความงามของพวกเรา ส่วนมันฝรั่งทอดนั้นไม่ดีต่อร่างกาย มันเป็นสิ่งที่ง่ายๆที่จะเลือกใช่ไหมละ แต่ทำไมหลายๆคนถึงได้เลือกที่จะทานอาหารขยะ?

การเลือกทานขนมคบเคี้ยวที่ดี ก็เป็นอีกศาสตร์และศิลป์ อย่างหนึ่ง ที่จำเป็นที่ต้องเรียนรู้ ในการเสริมความงาม หลายๆคนล้มเหลวในการเลือกขนมคบเคี้ยว และทานไม่เพียงพอ ที่ทำให้เกิดอาการหิวขึ้นมาในเวลาอันสั้น และทำให้ต้องทานเพิ่มใน 1-2 ชั่วโมงทัดมา ถ้าเราต้องการจะหาสิ่งที่ดีต่อสุขภาพและความงาม และทานขนมคบเคี้ยวที่ดีต่อร่างกายและน้ำหนัก และทำให้คุณอิ่มได้นานขึ้นละก็ นี้เป็นอีกคำแนะนำที่คุณควรอ่าน

อาหารที่ทำให้รู้สึกอิ่ม

มันเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงควบคุมอาหารหรือต้องการลดน้ำหนัก คุณควรจะหาอาหารที่ทำให้คุณอิ่มได้อย่างยาวนานกว่าปกติ ซึ่งหมายความว่าคุณจะทานน้อยลงตลอดทั้งวัน อาหารที่ดีที่สุดสำหรับทำให้อื่มท้องก็คืออาหารที่มีไฟเบอร์สูง ซึ่งได้แก่ ซีเรียล แครกเกอร์ และ ผักผลไม้ หรือ อาหารประเภทถั่ว

อาหารที่เรียบง่าย

แน่นอนว่าการเตรียมอาหารนั้นต้องใช้เวลาเป็นอย่างมากถ้าขนมคบเคี้ยวที่ดีต่อสุขภาพและความงามของเรานั้นเตรียมได้ยาก เราก็จะมีโอกาสที่จะได้ทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพนั้นน้อยลง เพราะแค่เตรียมอาหารหลัก 3 มื้อ หลายๆคนก็ยังไม่มีเวลาเลย
อย่างไรก็ตามเราขอเสนอ อาหารว่างลองท้องที่ไม่ยุ่งยากนัก นั้นกคือ ผักและ ผลไม้ โดยหั่นเป็นชิ้นเก็บไว้ในภาชนะที่ปิดสนิท และ ซื้อโยเกิยร์ แคลลอรี่ต่ำ เตรียมเอาไว้สำหรับจิ้มกับผักที่เตรียมไว้ ซึ่งไม่ยุ่งยากและทำให้พวกเราสามารถทานของว่างที่ดีต่อสุขภาพและความงามได้บ่อยขึ้น