วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สวยได้ด้วยมะนาว

เพื่อนๆรู้ไหมค่ะว่า มะนาว ทำให้เราสวยขึ้นได้ ก็ด้วยความเปรี้ยวของมะนาวนั้นแหละค่ะ ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีที่สูงมาก ก็เลยมีผู้ทำมาใช้เป็นสูตรมาร์กพอกหน้าขัดผิดกันอย่างแพร่หลาย ดังนั้นก็เลยจะหยิบยกมารวบรวมให้เพื่อนๆ ได้ทำไมใช้กัน เป็นผู้หญิงอย่าหยุดสวยค่ะ ไปดูสูตรต่างๆ กันเลยดีกว่า

 แต่ก่อนที่จะพอกหน้านั้น ก็ควรที่จะล้างทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาดเรียบร้อยเสียก่อนนะคะ

1. สูตรลดสิว หน้าขาวใส (ส่วนผสม น้ำมะนาวครึ่งลูก และดินสอพอง 4-5 เม็ด) นำดินสอพองและน้ำมะนา วมาผสมให้เข้ากัน  จนได้ครีมที่เหนียวข้น นำมาพอกทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 นาทีก่อนเข้านอน และล้างออกด้วยน้ำสะอาด ควรทำสัปดาห์ละประมาณ 3 – 4 ครั้ง ประมาณ 2 - 3 เดือน และหลังจากนั้นก็ลดจำนวนครั้งลง และสูตรมะนาวกับดินสอพองนี้ ยังสามารถช่วยลดรอยจุดด่างดำที่ผิวส่วนอื่นได้อีกด้วย ทำเป็นประจำจุดด่างดำต่างๆก็จะค่อยๆ จางหายไปค่ะ


 


2. สูตรมะนาวแต้มสิว (ส่วนผสม น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และไข่ขาว 1 ช้อนชา) ให้นำส่วนผสมทั้งสองมาผสมกันให้เป็นเนื้อเดียว แต้มที่ตุ่มสิวทิ้งไว้ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยโฟมล้างหน้า สิวจะค่อยๆหายไปค่ะ แต่ต้องใช้เวลานิดนึงนะคะ

3. สูตรหน้าอ่อนวัย (น้ำมะนาว 1 ช้อนชา น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ) นำส่วนผสมมาผสมให้เข้ากัน ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้ทำแค่อาทิตย์ละ 1 ครั้งพอค่ะ
 
4. สูตรชะลอวัย (ส่วนผสม น้ำมะนาว น้ำผึ้ง แป้งหมี่ ไข่แดง) นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมให้เข้ากัน นำมาพอกบนหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำสัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง
5. สูตรหน้าขาวใส (ส่วนผสม มะนาว 1/2 ช้อนโต๊ะ และหัวไชเท้า 1/2 ถ้วยตวง) นำส่วนผสมมาปั่นรวมกันให้ละเอียดกลายเป็นเนื้อเดียวกัน นำไปพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

6. สูตรมะนาวกระชับรูขุมขน
(ส่วนผสม น้ำมะนาว 1 ผล น้ำอุ่นสำหรับล้างหน้า และน้ำเย็นแบบที่แช่ในตู้เย็น) ล้างหน้าให้สะอาดและล้างครั้งสุดท้ายด้วยน้ำอุ่น ใช้ผ้าซับหน้าให้แห้ง และนำน้ำมะนาว มาทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น จากนั้นใช้น้ำเย็นล้างหน้าอีกครั้ง

7. สุตรมะนาวแก้ข้อศอก หัวเข่าดำด้าน ส้นเท้าแตก
 
ใช้เปลือก มะนาว ที่บีบน้ำออกหมดแล้ว นำมาขัด ผิวส่วนที่ด้านหรือแตก จะช่วยให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื้น รอยด้านหรือแตกก็จะค่อยๆ จางหายไปค่ะ
8. สูตรมือนุ่ม (ส่วนผสม น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ) นำน้ำมะนาวมาผสมกับน้ำตาล เอามาถูกับมือประมาณ 10 – 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่นกับสบู่ เช็ดให้แห้งและทาด้วยโลชั่นสำหรับผิว
 แต่สำหรับเพื่อนๆที่ผิวบาง พอกหน้าด้วยมะนาวแล้วรู้สึกแสบ แดง ก็ควรล้างออกทันที หรือใช้มะนาวในปริมาณน้อยๆค่ะ

วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555

ทำความรู้จักกับ L-Carnitine กันเถอะ

มาทำความรู้จักกับ แอลคาร์นิทีน กันเถอะ

ในปัจจุบัน แอลคาร์นิทีนนั้น เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายและได้ถูกนำมาใส่ในผลิตภัณฑ์ เสริมอาหาร และ เครื่องดื่มเพื่อความงาม อย่างมาก แอลคาร์นิทีน(L-Carnitine) นั้นเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ร่างกายสามารถผลิตได้ที่ตับ โดยมีการสังเคราะห์จากกรดอะมิโน 2 ชนิดคือ Lysine และ Methionine พร้อมกับอาศัยตัวเร่งให้เกิดการสังเคราะห์ ได้แก่ Niacin วิตามิน B6 วิตามิน C และ ธาตุเหล็ก โดยปกติแล้ว แอลคาร์นิทีน จะพบในสัตว์เนื้อแดงชนิดต่างๆ โดยเฉพาะในส่วนกล้ามเนื้อลายนั้นจะมากเป็นพิเศษ 
แอลคาร์นิทีนนั้นจะช่วยลำเลียงโมเลกุลของไขมันเล็กๆ เข้าไปใช้ในเซลล์ต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดการนำไขมันไปเปลี่ยนเป็นพลังงาน ดังนั้นหากร่างกายขาดสาร Carnitine หรือมีไม่เพียงพอที่จะเป็นตัวพาเม็ดไขมันไปเผาผลาญแล้วละก็ ปัญหาสุขภาพอันเนื่องมาจากไขมันสะสมก็จะเป็นเรื่องตามมาที่สามารถส่งผลเสีย ต่อร่างกายของคุณอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความอ้วน และการสะสมของไขมันตามหลอดเลือด ซึ่งอาจจะส่งผลต่อความยืดหยุ่นของหลอดเลือด และนำมาซึ่งปัญหาไขมันในเลือดสูงและมีความดันโลหิตสูงตามมาได้ นอกจากนี้ ยังอาจจะมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อแขนขา อ่อนเพลีย ซึมและเหนื่อยง่าย

10 สิ่งที่ควรรู้ของแอลคาร์นิทีน
1.คาร์นิทีนทำให้แก่ช้าลง ในเหตุผลแรกนี้ก็ชวนให้เราหลงใหลใคร่อยากกินคาร์นิทีนกันแล้ว ที่คาร์นิทีนทำให้แก่ช้าลงก็เพราะเหตุผลที่ว่าเซลล์ในร่างกายทุกๆ เซลล์ ไม่ว่าจะเป็นเซลล์สมอง เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ หรือเซลล์อื่นๆ ในร่างกายทั้งหมดจะทำงานได้ดีก็ต่อเมื่อได้รับพลังงานเพียงพอ และเหมาะสมกับความต้องการของเซลล์แต่ละชนิด และคาร์นิทีนนี่เองทำให้เซลล์มีอายุยืนนานขึ้น
2.คาร์นิทีนทำให้ระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ (triglycerides) อยู่ในระดับต่ำ และช่วยเพิ่มระดับของไขมันที่มีประโยชน์ (HDL-คอเรสเตอรอล) ในเลือด
3.คาร์นีทีนช่วยป้องกันโรคหัวใจ โดยมีผลทำให้สุขภาพโดยรวมของหัวใจดีขึ้น และช่วยป้องกันการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวด้วย 
4.คาร์นีทีนช่วยให้น้ำหนักลด โดยเฉพาะการใช้ร่วมกับวิธีการที่ ลดอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลลงในอาหารแต่ละมื้อ
5.คาร์นีทีนช่วยเพิ่มระดับพลังงานของร่างกาย อย่างเป็นธรรมชาติค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่ทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บ หรือเกิดความเสียหายใดๆ กับร่างกายได้
6.แอล คาร์นิทีนช่วยให้ ความสามารถในการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น มีความทนทานมากขึ้น และป้องกันเนื้อเยื่อไม่ให้เกิดความบาดเจ็บอันเนื่องมาจากปริมาณออกซิเจนในเซลล์ไม่เพียงพอ
7.คาร์นิทีนและ อะซีทีล-แอล-คาร์นีทีน (Acetyl-L-carnitine) ทำให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น
8.อะซีทีล-แอล-คาร์นีทีนช่วยลดความเสียหายของเซลล์ประสาท อันเนื่องมาจากความเครียด และอาจมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ แต่ได้ผลเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอายุน้อย ทำให้อาการของโรคไม่เป็นไปมากกว่านี้
9.อะซีทีล-แอล-คาร์นีทีน มีผลต่อสุขภาพจิตในทางบวก และลดภาวะความเครียด
10.คาร์นิทีนช่วยในการทำงานของตับ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของคนเรา

 นอกจากนี้ยังมีงานวิจัย มากมายที่ยืนยันถึงประโยชน์ของการใช้ L-carnitine ในวงการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ในผู้ป่วยที่มีปัญหากล้ามเนื้ออ่อนแรง จนไม่สามารถตั้งศีรษะให้ตรงได้ ซึ่งหลังจากมีการใช้ L-carnitine ขนาด 2 กรัม/วัน อาการดังกล่าวก็หายไป หรือการใช้ในนักกีฬา ก็มีการยืนยันว่าสามารถเพิ่มแรง สำหรับการออกกำลังกายประเภทหนักได้ เช่น การวิ่งมาราธอน   รวมทั้งมีการใช้ แอลคานิทีน พื่อช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น

ข้อควรระวังในการใช้แอลคาร์นิทีน
สารทุกอย่างมีทั้งประโยชน์ และโทษในตัวเองขึ้นกับปริมาณ และช่วงจังหวะเวลาของการใช้ ถึงแม้ว่าแอลคาร์นิทีนจะไม่ปรากฏผลข้างเคียงใดๆ ที่เด่นชัดมากนัก แต่ก็มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าถ้ากินเข้าไปมากขนาด 5 กรัมต่อวัน หรือมากกว่าอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้ ส่วนอาการข้างเคียงอื่นๆ ที่อาจพบได้ เช่น มีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น มีกลิ่นตัว และเกิดอาการแพ้มีผื่นแดงขึ้น และสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้ต่ออาหารโปรตีน เช่น ไข่ นม หรือข้าวสาลี ไม่ควรบริภค ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ แอลคาร์นิทีน รวมถึงคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับ และไต เด็กที่มีอายุยังไม่ถึง 2 ขวบ และสตรีมีครรภ์ก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้ ถ้าจำเป็นก็ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

เคล็ดความงาม ไฟเบอร์ ช่วยลด คอเลสเตอรอล

เคล็ดความงาม ไฟเบอร์ ช่วยลด คอเลสเตอรอล

คอเลสเตอรอล เป็นไขมันชนิดหนึ่ง มีลักษณะกึ่งเหลว ที่พบได้ในทั่วไปในเซลล์และอวัยวะต่างๆทั่วไปในร่างกาย
อย่างไรก็ดี คอเลสเตอรอล ก็เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์
ช่วยในการส่งผ่านสารละลายต่างๆ ระหว่างเซลล์ และยังเป็น สารตั้งต้นในการสร้างน้ำดี
ที่มีความจำเป็นในการย่อยไขมัน ที่เรารับประทานเข้าไป คอเลสเตอรอล ส่วนใหญ่ในร่างกายของคนเรานั้นรางกายเรานั้น
สามารถสังเคราะห์ขึ้นมาได้เองจากตับ ซึ่ง ก่อนที่ร่างกายจะสามารถนำคอเลสเตอรอล ที่สังเคราะห์ขึ้นมานี้ไปใช้ได้ันั้น
ต้องมีการรวมตัวกับโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า อะโพโปรตีน เพื่อเปลี่ยนเป็น ไลโพโปรตีน ที่สามารถถูกดูดซึมและส่งผ่านทางระบบไหลเวียนโลหิต
เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไปได้

สำหรับระดับปริมาณของคอเลสเตอรอล ในร่างกายของคนเรา ถ้าเกิดสูงเกินไปจะทำให้
เกิดอันตรายกับระบบส่งผ่านสารต่างๆ ภายในร่างกายได้ เช่น ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบการดูดซึมของเซลล์
โดยมักเกิดขึ้นกับผู้ที่มีภาวะน้ำหนักตัวสูงเกินมาตรฐาน การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับชีวะวิทยาหลายฉบับ
ยืนยันว่า การรับประทาน เส้นใยอาหาร (Fiber) ชนิดที่ละลายน้ำได้
วันละ 10 – 30 กรัม สามารถช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในร่างกาย
หรือ ไขมันไม่ดี ลงได้ถึง ร้อยละ 10 ซึ่งได้ผลดีกว่าการรับประทานยาลดระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด

อาหารช่วยลดคอเลสเตอรอล ซึ่ง อุดมด้วยเส้นใย 10 อันดับแรก
ได้แก่

ไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำ สามารถพบได้มากในอาหารประเภทถั่ว และ ธัญพืชชนิดต่างๆ
เช่น ถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ และถั่วปากอ้า โดยสารเส้นใย (ไฟเบอร์)สามารถไปเคลือบกระเพาะ
ทำให้ความอยากอาหารลดลง ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้นด้วย
ข้าวโอ๊ตและรำข้าว ก็อุดมไปด้วย ไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำ
ผัก ที่มีไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำสูง ได้แก่
บล็อคโคลี่ แครอท ข้าวโพดหวาน นอกจากนี้สาร ซิลิเนียมที่มีอยู่ในผัก ยังมีประโยชน์มากๆ
ต่อร่างกายอีกด้วย
ผลไม้ ประเภท ลูกพรุน อินทผลัม มะเดื่อ และเอพริคอต เป็นอีกแหล่งหนึ่งที่มี
ไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำอย่างอุดมสมบูรณ์
แอ๊ปเปิ้ล ฝรั่ง สาลี่ ฝรั่ง ก็เป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์ในปริมาณสูงเช่นกัน
นอกจากนี้ วิตามินซีในฝรั่ง ยังช่วยสร้างคอลลาเจน ที่ช่วยลดการเกิดริ้วรอยของผิวได้อีกด้วย
ธัญพืชไม่ขัดสี ข้าวกล้อง ข้าวไรย์ ข้าวบัควีต ขนมปังโฮลวีต
เส้นพาสต้า เป็นแหล่งไฟเบอร์ ที่ช่วยในการลดระดับของคอเลสเตอรอล และ ช่วยในระบบขับถ่ายของร่างกายให้เป็นปกติ
มันฝรั่งอบ มันเทศนึ่ง โดยรับประทานทั้งเปลือก
ผักโขม คะน้า เป็นผักที่มีไฟเบอร์สูงและมีเส้นใยในปริมาณมาก
ถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ ถั่วลิสง วอลนัท เป็นอีกแหล่งอาหารเส้นใยที่ละลายน้ำได้
ผลไม้ประเภท กล้วย เช่น กล้วยไข่ กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
กล้วยไข่นั้น นอกจากประโยชน์เรื่องไฟเบอร์แล้ว ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย